"เพชร" เครื่องประดับเลอค่า... ควรคู่แก่การจดจำ... เป็นสัญลักษณ์แห่งรักนิรันดร์… "เพชร" เลอค่าเหนือกาลเวลา… "เพชร" ของขวัญที่เพิ่มค่า... แม้วันเวลาเปลี่ยนไป...
เพชรกับผู้หญิงเป็นสิ่งที่คู่ควรกันมาเนิ่นนาน เพราะด้วยความที่เพชรเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เป็นวัตถุที่มีความแข็งๆมากที่สุดในโลก จึงมีค่าและมีราคาสูง ผู้หญิงทุกคนที่ได้มีโอกาสเข้าพิธีหมั้นและการแต่งงาน ซึ่งเป็นพิธีที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต เจ้าสาวที่ได้เข้าสู่พิธีนี้ทุกคนต่างก็ตื่นเต้น และพยายามเตรียวตัวให้พร้อมและสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่ตัวเองทำได้เพื่องานนี้ เมื่อถึงวันสำคัญวันนั้น นอกจากเจ้าสาวแล้วสิ่งหนึ่งที่ที่แขกทุกคนที่มาในงานต่างจับตามองเป็นพิเศษนั้น คือ "แหวนเพชร" บนเรียวนิ้วของเจ้าสาวนั่นเอง ที่จะได้รับการให้ความสำคัญและเป็นที่สนใจมาก ไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ซึ่งเมื่อโอกาสครั้งสำคัญเช่นนี้มาถึงแล้วล่ะก็ ก่อนถึงวันงานเจ้าสาวทุกคนจึงให้ความสำคัญและพิถีพิถันเป็นอย่างมาก ในการการคัดสรร "เพชร" ด้วยตนเองอย่างละเอียดละออที่สุด และพิจารณาแบบของแหวนที่เหมาะสมกับตัวเองให้มากที่สุด
"เพชรสีขาวบริสุทธิ์ อันเป็นสัญลักษณ์ แห่งความรักที่มั่นคง"
ดังนั้น การพิจารณาเลือกซื้อเพชร ผู้ซื้อควรเลือกจากร้านที่ประกอบกิจการมานานและน่าเชื่อถือไว้ใจได้เมื่อได้ร้านแล้ว จึงมาพิจารณาเรื่องลักษณะของเพชร และรูปแบบของตัวเรือนแหวนเพชรที่ต้องการเป็นอันดับต่อไป ซึ่งคุณสามารถประเมิน คุณค่าของเพชร ได้โดยสังเขปจากองค์ประกอบ 4Cs ของเพชร หรือคุณลักษณ์ทั้ง 4 ของเพชรนั่นเอง ซึ่งคุณควรนำมาใช้ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการพิจารณา เพื่อให้ได้แหวนเพชรที่สวยเหมาะสม และมีคุณภาพตรงตามความต้องการที่แท้จริงตนเอง
"เพชรแท้"...ย่อมส่องแสงเจิดจรัสแม้อยู่ในที่มืด "เปรียบเสมือน"คนดี"...ย่อมเปล่งประกายความดีแม้ตกอยู่ในดงโจร
1. Carat (น้ำหนักเพชรต่อเม็ด)
หน่วยวัด : กะรัต 1 กะรัต(Carat) = 100 สตางค์(Point) = 0.20 กรัม
เนื่องจากเพชรดิบที่พบตามธรรมชาตินั้น เดิมมักมีรูปร่างไม่สวยงามยังไม่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องประดับได้ ต้องนำมาผ่านการเจียระไนแยกชิ้นส่วนที่มีตำหนิบางส่วนออกไปก่อน เพื่อให้ได้เพชรร่วงที่สามารถนำมาใช้ เป็นเครื่องประดับได้เพชรร่วงแต่ละเม็ดที่มีน้ำหนักต่อเม็ดเหลืออยู่นั้น เม็ดที่มีน้ำหนักเหลืออยู่ยิ่งมาก ก็จะยิ่งหายาก และมีราคาค่อนข้างสูงดังนั้น หากคุณจะเลือกซื้อเพชร ควรคำนึงถึงน้ำหนักกะรัตที่มีความพอดี และตรงกับความต้องการ ที่แท้จริงของคุณซึ่งไม่เพียงทำให้ได้เพชรที่ดีเท่านั้น แต่ยังทำให้ได้เพชรที่เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่อีกด้วย
น้ำหนักของเพชรจะวัดหน่วยเป็นกะรัต 1 กะรัตแบ่งออกเป็น 100 สตางค์ ดังนั้นเพชรขนาดครึ่งกะรัต จึงมีน้ำหนักเท่ากับ 50 สตางค์ ขนาดน้ำหนักกะรัตของเพชร มีผลเป็นอย่างมากต่อมูลค่าของเพชรแต่ละเม็ดนั้นๆ และสิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอก็คือ เมื่อเราเปรียบเทียบเพชรสองเม็ดที่มีขนาดน้ำหนักกะรัตเท่ากัน อาจมีมูลค่าที่แตกต่างกัน เป็นอย่างมากได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ 3Cs ที่เหลือ ที่ต้องนำมาใช้ในการพิจารณาเพชรต่อไปนั่นคือ การเจียระไน สี และความสะอาดนั้นเอง จากรูป : แสดงน้ำหนักกะรัตของเพชร และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเพชร
2. Clarity (ความใสสะอาดของเนื้อเพชร)
เพชรร่วงส่วนมากที่ผ่านการเจียระไนแล้ว มักจะมีริ้วรอยหรือตำหนิเพียงเล็กน้อย ซี่งเปรียบเสมือนลายนิ้วมือ ที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้นมาเพื่อบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของเพชรแต่ละเม็ดนั้นๆ ซึ่งก็มิได้ทำให้เพชรนั้นลดความงาม หรือลดความแข็งแกร่งลงแต่อย่างใดแต่ทว่ามีผลต่อการสะท้อนแสง ยิ่งมีริ้วรอยน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งจะทำให้แสงสามารถ ส่องผ่านไปได้มากขึ้นทำให้เพชรสามารถทอประกายแสงเจิดจ้าระยิบระยับได้มากยิ่งขึ้น เพชรจึงเหนือกว่าอัญมณีอื่นใด เพราะสามารถทอประกายแสงได้สุกใสงดงามที่สุด
วิธีพิจารณาความสะอาดของเนื้อเพชร ต้องใช้กล้องขยาย 10 เท่า และตรวจสอบโดยนักอัญมณีศาสตร์เท่านั้น GIA (สถาบันตรวจสอบและออกใบรับรองคุณภาพของเพชรและอัญมณี ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล)
IF (Internally Flawless) หมายถึงเพชรที่สะอาดที่สุด คือไม่มีรอยตำหนิใดๆ
VVS1-VVS2 (Very Very Slightly Inclusions) หมายถึงเพชรที่มีตำหนิน้อยมากๆ ซึ่งยากมากๆแก่การมองเห็นภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า VS1-Vs2 (Very Slightly Inclusions) หมายถึงเพชรที่มีตำหนิน้อย ซึ่งยากแก่การมองเห็นภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า SI1-SI2 (Slightly Inclusion) หมายถึงเพชรที่มีตำหนิ ซึ่งจะเห็นตำหนิได้ง่ายภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า และอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าในบางเม็ด
3. Color (สีของเนื้อเพชร)
เพชรตามธรรมชาติมีหลายเฉดสีด้วยกัน ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับวัสดุที่เจือปนมาในเพชร นั่นเอง
จากรูป : แสดงลักษณะของเพชรในเฉดสีต่างๆ
สำหรับเพชรชนิดสีขาวนั้น เราจะพบว่า ยิ่งมีความขาวใสและบริสุทธิ์มากเพียงใด ก็จะยิ่งเพิ่มคุณค่าและสนนราคาสูง ตามไปด้วยเท่านั้น เพชรชนิดสีขาวธรรมชาติจะแบ่งออกเป็นหลายๆ ระดับ มีตั้งแต่ขาวใสไร้สีซึ่งหายากและมีค่ามากที่สุด ไปถึงสีเหลืองจางๆเพชรยิ่งมีสีน้อยเท่าไร ก็ยิ่งอำนวยให้แสงสามารถวิ่งผ่านเนื้อภายในได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และสะท้อน ประกายไฟสีรุ้งบนผิวหน้าเพชรได้สวยงามมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งเราสามารถจัดแบ่งลำดับสีของเพชรได้ดังนี้
จากรูป : แสดงการแบ่งระดับสีของเพชรชนิดสีขาว ตั้งแต่สี D=สีน้ำ100% ไปจนถึงสี Z=สีน้ำ78% โดยแบ่งเป็นช่วงๆดังนี้ ช่วงที่1 ช่วงD-F Colorless (ขาวบริสุทธิ์) ช่วงที่2 ช่วงG-J Near Colorless (ขาวติดเหลืองจางมากๆ) ช่วงที่3 ช่วงK-M Faint Yellow (ขาวติดเหลืองจางๆ)
เนื่องจากเฉดของสีที่อยู่ระหว่างกลางของสีขาวใสกับสีเหลืองจางๆมีมากมาย ทำให้การทำการแยกสีเพชรสีขาว กับเพชรที่ติดเหลืองเล็กน้อย ทำได้ยากซึ่งสีที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยนั้นมีผลกระทบต่อระดับราคาของเพชรค่อนข้างมาก ทางสถาบัน GIA จึงได้มีการกำหนดมาตรฐานการเทียบสีเพชรไว้ ซึ่งการเทียบสีเพชรโดยสายตามนุษย์ ไม่สามารถแยก ความละเอียดสีขาวและสีขาวติดเหลืองเล็กน้อยออกมากได้ จึงต้องเทียบสีกับ Master Stone โดยนักอัญมณีศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
4. Cut (คุณภาพของฝีมือการเจียระไน)
การเจียระไนเพชรในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาจนได้รูปแบบของรูปทรงเพชรที่สามารถส่องประกายแวววาวเจิดจรัสมากทึ่สุด มากกว่าในอดีตที่ผ่านมาการเจียระไนเพชร หมายถึง การจัดวางหน้าเหลี่ยมต่างๆของเพชรดังนั้นเมื่อกล่าวว่าเพชรเม็ดนี้ เจียระไนดีหรือไม่ ก็จะเป็นการหมายถึง ฝีมือการเจียระไนเหลี่ยมในเพชรของช่างว่าถูกต้อง ได้สัดส่วนงานออกมาปราณีต ออกจากช่างฝีมือเอกหรือไม่ ทั้งนี้เพราะเพชรที่เจียระไนดีจะมีการเล่นแสงได้อย่างแพรวพราวระยิบระยับจับตา และทวีค่า ยิ่งขึ้นและทำให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจ ฉะนั้นการเจียระไนเพชรที่ได้สัดส่วนที่ดีจึงมีความสำคัญมาก
การเจียระไนเพชรมีรูปแบบต่างๆกัน แต่โดยทั่วไปเพชรจะนิยมเจียระไนเป็นรูปทรงกลม เพชรทรงกลมมักนิยมเจียระไน เป็นเหลี่ยม Round Brilliant Cut หรือทรงกลมเหลี่ยมเกสร เนื่องจากเพชรที่เจียระไนแบบนี้ จะมีการกระจายแสง ที่สมบูรณ์แบบมาก โดยมีเหลี่ยมมากถึง 57-58 เหลี่ยมต่อเพชรหนึ่งเม็ด ในการพิจารณาว่าเพชรเม็ดนั้นเจียระไนดี หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจาก 3 องค์ประกอบ
1. ขนาดเทเบิล(Table Size) ขนาดเทเบิลที่ใหญ่หรือเล็กเกินไป จะมีผลต่อการกระจายแสงของเพชร 2. มุมคราวน์(Crown Height) เพชรที่มีความสูงไม่สมดุลกับมุมสะท้อนแสง จะมีส่วนทำให้การกระจายแสงลดน้อย 3. ความลึกพาวิเลี่ยน(Pavilion Depth) เพชรที่มีการเจียระไนที่ดี แสงจะสะท้อนขึ้นทุกมุม ทำให้การกระจายแสงดี
แต่เพชรที่ผ่านการเจียระไนบางเกินไป แสงจะทะลุออกด้านล่างหรือถ้าหนาเกินไป จะทำให้ไม่มีแสงสะท้อน ทำให้เพชร จะดูมืด (Nail Head) ซึ่งค่าทั้งหมดเหล่านี้ จะถูกตรวจสอบโดยนักอัญมณีศาสตร์และบันทึกผลที่ได้ลงในใบCertificates ซึ่งผลที่ได้ทั้งหมดจะนำมาสรุป เพื่อให้เข้าใจง่ายต่อบุคคลทั่วไป โดยจะเรียงลำดับจากเจียระไนดีเลิศ (Excellent), เจียระไนดีมาก (Very Good), เจียระไนดี(Good), เจียระไนพอใช้(Fair)
ซึ่งลักษณะของเพชรที่สวยงามในอุดมคติ (Ideal cut) ที่นักอัญมณีศาสตร์วิจัยออก คือมีค่า Table Size 58% และค่า Total Deep 63%
จากรูป : แสดงแบบการเจียระไนเพชรในแบบต่างๆ
|